วันจันทร์, พฤศจิกายน 06, 2549

ย้ายแล้วครับ

แจ้งให้ทราบครับว่า ตอนนี้ขอย้ายถิ่น Suki Media ไปอยู่ที่

http://baramee.wordpress.com

เนื่องจาก feature ต่างๆ ของ wordpress มีหลากหลายกว่า, theme มีให้เลือกเยอะกว่า, และมีกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมกว่า ถึงแม้การใช้งานบางฟังก์ชันจะไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่ก็ตาม แต่คิดว่าจะสามารถตอบสนองการใช้งานโดยรวมของผมได้ดีกว่า จึงขอแจ้งให้ทราบ ณ บัดนี้

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 26, 2549

เกือบจะเป็นบทวิจารณ์

มีแฟนประจำรายการของผมคนหนึ่ง ติดตามงานทั้งทีวี วิทยุ และงานเขียนของผมมาตลอด มาวันนี้เธอจะแสดงฝีมือเองบ้าง ด้วยข้อคิดเห็นที่คล้ายๆ กับบทวิจารณ์ภาพยนตร์ ถึงแม้จะยังไม่สามารถเรียกว่าบทวิจารณ์ได้เต็มร้อย แต่ก็ถือว่าเป็นทัศนะที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องใดเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย อ่านแล้วคิดเห็นอย่างไร บอกต่อกันด้วยครับ

The Departed
โดย lost in space


คำกล่าวที่ว่า “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” ตามตำราพิชัยสงครามของซุนวู เป็นหนึ่งในกลยุทธ์เพื่อหวังผลฟาดฟันห้ำหั่นศัตรูฝ่ายตรงข้ามให้แพ้พ่าย ยอมหมอบราบคาบแก้วแต่โดยดี

หนึ่งในวิธีการ “รู้เขา” เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำ ลดการคาดเดาให้น้อยที่สุด ได้เปรียบที่สุด คือวิธีการส่งไส้ศึก หรือ “หนอนบ่อนไส้” นั่นคือส่งคนเข้าไปแฝงตัวในฝ่ายตรงข้ามเพื่อเจาะหาข้อมูล ตามความเคลื่อนไหวของศัตรู นี่ดูว่าอาจจะเป็นวิธีดีที่สุดในการ “รู้เขา” แต่ก็เสี่ยงที่สุดเช่นกัน

คนที่ถูกกำหนดให้เป็น “หนอน” ต้องยอมรับสภาพ และรู้อยู่แก่ใจดีแต่แรกแล้วว่าชีวิตจะเดินไปในทิศทางใด แน่นอนว่ามันไม่สดใสสวยงามดังความฝัน ทุกก้าวย่างไม่นิ่มนวลเหมือนทางเดินที่ปูลาดด้วยพรม และหากผิดพลาด ชีวิตจะจบลงอย่างน่าเอน็จอนาถขนาดไหน

ใน The Departed มีหนอน 2 ตัว ที่อยู่คนละขั้ว ระหว่างฝ่ายตำรวจ และแก๊งมาเฟีย ทั้งสองจำต้องรับสภาพชีวิตให้เป็นไปตามภูมิหลังชีวิตที่เลือกไม่ได้ ภูมิหลังที่คนส่วนใหญ่ในสังคมกำหนดวางไว้ไม่ให้ไกลเกินกว่าพวกเด็กข้างถนน พวกอันธพาลนักรีดไถ พวกมิจฉาชีพฯลฯ

Colin Sullivan (Mat Damon) เติบโตขึ้นมาจากเด็กยากจนคนหนึ่ง ในย่านคนยากไร้หลากเชื้อชาติแห่งหนึ่งในบอสตัน จนกลายเป็นนายตำรวจหนุ่มรุ่นใหม่ ภาพลักษณ์ดูดี มีการศึกษา อนาคตไกล ด้วยการอุปถัมภ์เลี้ยงดูจาก Frank Costello (Jack Nicholson) หัวหน้าแก๊งมาเฟียชาวไอริชอันเลื่องชื่อ แต่หาตัวจับยาก แม้แต่หัวหน้าแก๊งอื่นในบอสตัน เพียงได้ยินชื่อเขายังขยาด ชื่อของ Frank Costello ถูกจัดอยู่ในลำดับต้นๆ ในบัญชีดำของตำรวจบอสตันมานานหลายปี

Sullivan ผู้ถูกเลี้ยงในแก๊งมิจฉาชีพมาตั้งแต่เด็กจนโต มีแววฉลาดเก่งกาจในทางบุ๋น คือการใช้สมองและไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เขาจึงถูกส่งไปเรียนในโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เพื่อทำหน้าที่เป็นไส้ศึกส่งข่าวให้กับแก๊งของ Costello ในยามที่ตำรวจส่งทีมไล่ล่า การซื้อขายของผิดกฎหมายทุกครั้งของ Costello จึงไม่เคยถูกจับได้ไล่ทัน ก็เพราะมีหนอนอย่าง Sulivan นั่นเอง

Billy Costigan (Leonado DiCaprio) เป็นชีวิตอีกขั้วที่คู่ขนานไปกับชีวิตของ Sullivan ภูมิหลังทางครอบครัวของ Costigan รายล้อมไปด้วยกลุ่มแก๊งมิจฉาชีพในแหล่งชุมชนแออัดหลากชาติหลายพันธุ์ แม้ว่า Costigan จะพยายามถีบตัวเองให้พ้นจากสภาพแวดล้อมเดิม ที่อนาคตมีแต่ความมืดมนอนธการ ด้วยการสอบเข้าเรียนนายร้อยตำรวจจนจบออกมา เพื่อหวังจะเป็นตำรวจที่ดี มีอุดมการณ์ มีชีวิตที่ดีกว่าเดิม แต่ดูเหมือนเขากลับถูกผลักไสให้กลับไปสู่สภาพแวดล้อมเดิมๆ อีกครั้งด้วยเหตุผลอันขันขื่น เพียงเพราะเขามีภูมิหลังทางครอบครัวที่ดูแย่และเลวร้ายกว่าใครในบรรดานักเรียนตำรวจรุ่นที่เขาเรียนจบมา เหมาะสมที่จะใกล้ชิดเป็นกลุ่มก้อนเดียวกับพวกมิจฉาชีพได้อย่างไร้ข้อสงสัย

Costigan ไม่เต็มใจในหน้าที่นัก แต่ก็ต้องรับผิดชอบ เขาถูกส่งให้ไปเป็นสายสืบนอกเครื่องแบบ แฝงตัวอยู่ในแก๊งของ Costello เพื่อคอยส่งข่าวให้ทางตำรวจรู้ความเคลื่อนไหวในทุกครั้งที่มีการลักลอบซื้อขายของผิดกฎหมาย และเป้าหมายที่สำคัญคือ การจับกุมหรือกำจัด Costello ให้ได้

ทั้ง Colin Sullivan, Billy Costigan และ Frank Costello เป็น 3 ตัวละครหลักสำคัญของ The Departed ที่ทำให้ตัวหนังดำเนินไปอย่างเข้มข้นชวนติดตาม ด้วยความมีมิติของตัวละครทั้ง 3 แต่ละคน ล้วนมีความขัดแย้งในตัวตนของตัวเอง เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่ Sullivan ต้องเลือกระหว่างเกียรติยศ ชื่อเสียง ความเติบโตในหน้าที่การงาน และชีวิตครอบครัวดีๆ ที่อยู่ใกล้แค่คืบ แต่สิ่งเหล่านั้นมันกลับจะเกินไกลเอื้อม หากเขาต้องเลือกรับผิดชอบต่อภารกิจเพื่อตอบแทนบุญคุณให้ Costello ผู้ที่เขาเรียกว่า “พ่อ”

ขณะที่ Costigan ต้องว้าวุ่นสับสนใจอยู่ตลอดเวลากับเส้นบางๆ ที่กั้นระหว่างคำว่า “หน้าที่ของตำรวจที่ดี” กับ “ฆาตกรเลือดเย็น” ยิ่งนานวันที่เขาตกอยู่ในวังวนนี้เท่าไหร่ เขามีชีวิตอยู่ได้ด้วย “ยาระงับประสาท” จากจิตแพทย์ในจำนวนที่มากขึ้นเท่านั้น

ส่วน Billy Costigan มีชีวิตไม่ต่างจากเจ้าพ่อแก๊งมาเฟียผู้มีอิทธิพลทั่วไป เขามีทุกอย่างที่ต้องการ เงินทอง ทรัพย์สิน และผู้หญิง จะขาดก็แต่ “ความวางไว้ใจ” ที่เขาอยากได้ อยากมี และเขาก็รู้อยู่แก่ใจตลอดเวลาว่า เขาจะไม่มีวันได้ ตราบใดที่เขายังเดินบนถนนสายมิจฉาชีพเปื้อนเลือดเส้นนี้ แต่ Costigan ก็ยังไม่เคยคิดเปลี่ยนใจที่จะเลิกเดิน

The Departed (สร้างมาจากหนังต้นฉบับเดิมคือ Infernal Affairs หรือ 2 คน 2 คม ของฮ่องกง) ไม่ใช่ภาพยนตร์แอ็คชั่น ไล่ล่า ล้างผลาญ เลือดท่วมจอ ตามชื่อภาษาไทยของหนัง “ภารกิจโหด แฝงตัวโค่นเจ้าพ่อ” ที่ทำให้คนดูบางส่วนเข้าใจไขว้เขวในแนวหนังได้ แต่จัดเป็นหนังชีวิตที่ทำให้ได้คิดว่าชีวิตคนเราไม่ได้มีแค่ด้านเดียว มุมเดียว ไม่ได้มีแค่สีขาวกับสีดำ เราไม่อาจตัดสินคนๆ หนึ่ง ด้วยการมองจากมุมใดมุมเดียว หรือจากสิ่งที่เห็นแค่เปลือกนอก ดังนั้น “การรู้หน้าจึงไม่ได้หมายถึงว่ารู้ใจ” และควรยอมรับด้วยว่าบางครั้งการได้รู้ใจบางคน รู้ความจริงบางอย่าง แม้ว่าอาจทำให้เรารู้สึกตาสว่างขึ้น ในขณะเดียวกันก็อาจทำให้เราเจ็บปวดใจ สูญสิ้นศรัทธามากขึ้นด้วยเช่นกัน

วันจันทร์, ตุลาคม 23, 2549

เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ได้ดูแค่เม็ดเงิน

รื่อง เศรษฐกิจพอเพียง ยังเป็นเรื่องเถียงกันไม่จบว่าความหมายที่แท้จริงคืออะไร บางคนยังงงว่าถ้าประเทศไทยต้องการเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว ทำไมต้องพัฒนาด้านอุตสาหกรรม ทำไมต้องสร้างความเจริญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกันด้วย สิ่งนี้แสดงถึงความไม่แตกฉานในปรัชญานี้เป็นอย่างมาก

เมื่อวันก่อนผมมีโอกาสเข้ารับฟังการแถลงผลการประชุม เรื่องที่รัฐบาลจะเลื่อนหรือไม่เลื่อนการยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ในวันที่ 1 มกราคม 2550 คุณ ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้อธิบายถึงความพร้อมและเหตุผลถึงการไม่น่าจะยกเลิกน้ำมันเบนซิน 95 แบบหักดิบ แต่ควรจะใช้กลไกตลาดโดยสร้างแรงจูงใจให้คนหันมาใช้แก๊สโซฮอล์ จนท้ายที่สุดคนจะเลิกใช้เบนซิน 95 ไปเองมากกว่า เหตุผลที่สำคัญของการเลื่อนการยกเลิกเบนซิน 95 ก็เพราะไทยยังไม่สามารถผลิตเอทานอล ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตแก๊สโซฮอล์ได้เพียงพอ ถ้ายังดึงดันจะยกเลิกเบนซิน 95 ในวันที่ 1 มกราคมปีหน้า ไทยจะต้องนำเข้าเอทานอลจากต่างประเทศแน่นอน อย่างนี้จะเรียกว่าพอเพียงได้อย่างไร

อีกเรื่องที่การประชุมพูดถึงคือการยกระดับมาตรฐานน้ำมันในประเทศ ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล "ยูโร 4" ซึ่งประเทศไหนๆ ก็ใช้มาตรฐานนี้เพื่อเป็นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน เนื่องจากน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 มีส่วนประกอบของสารพิษต่ำกว่าน้ำมันที่ขายในประเทศเราทุกวันนี้มาก แต่ปัญหาก็คือการไปให้ถึงจุดนั้นได้ โรงกลั่นน้ำมันต่างๆ ในบ้านเราต้องปรับปรุงระบบการกลั่นใหม่ นั่นหมายถึงเม็ดเงินที่ต้องใช้ในการนี้รวมๆ แล้วทุกโรงกลั่นก็ประมาณ 50,000 ล้านบาท

พอฟังถึงจำนวนเงินนี้เท่านั้น นักข่าวจากสื่อแห่งหนึ่งก็ถามรัฐมนตรีพลังงานว่า ใช้เงินเยอะขนาดนี้เป็นเศรษฐกิจพอเพียงตรงไหน คุณปิยสวัสดิ์ได้ยินคำถามนี้ก็อึ้งไปสักครู่หนึ่ง ก่อนตอบว่าเงินจำนวนนี้ไม่ได้จ่ายในครั้งเดียว แต่จะค่อยๆ ทยอยใช้ปรับปรุงระบบโรงกลั่นไปเรื่อยๆ อาจจะเป็น 3 ปี 5 ปี ก็ว่าไป ซึ่งผลที่ได้กลับมาจะคุ้มค่ากว่า 50,000 ล้านบาทมาก

ผมไม่รู้ว่านักข่าวคนนั้นได้รับคำตอบแล้วจะเข้าใจเศรษฐกิจพอเพียงมากขึ้นหรือไม่ แต่สิ่งสำคัญคือคุณปิยสวัสดิ์ไม่ได้ให้เหตุผลว่าทำไมคำว่า "พอเพียง" ถึงดูเพียงแค่จำนวนเงิน ทำไมถึงคิดว่า 50,000 ล้านบาท มันไม่พอเพียง ทำไมถึงคิดว่า 50,000 ล้านบาท มันมากเกินไป

สิ่งที่ต้องถามกลับนักข่าวคนนั้นก็คือ 50,000 ล้านบาทนั้น น้อยไปหรือเปล่ากับการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนและสิ่งแวดล้อม ค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนที่ประชาชนคนไทยต้องเสียไปกับมลพิษทางอากาศ อันเนื่องมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์นั้น มากเสียจนไม่อาจประนีประนอมได้อีกแล้ว ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าตำรวจจราจรหลายรายเจ็บป่วยจากโรคทางเดินหายใจจนต้องเข้าโรงพยาบาล เนื่องจากสูดอากาศเสียสะสมเข้าไปทุกวัน ซึ่งก็คงไม่ต่างจากผู้โดยสารที่เดินทางโดยรถโดยสารประจำทางแบบไม่ปรับอากาศ ที่ต้องสูดดมมลพิษเข้าไปทุกวันเช่นกัน และแน่นอนว่าจำนวนคนที่ป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจคงไม่ได้มีเพียงคนหรือสองคน จากจำนวนประชากรในกรุงเทพมหานครนับ 10 ล้านคนทุกวันนี้ และจะมีสักกี่คนที่ยังไม่แสดงอาการ และจะมีสักกี่คนที่มีอาการแสดงออกมาแล้ว แต่ไม่ทราบว่ามีผลสืบเนื่องมาจากอะไร

คนป่วยเหล่านี้ ใช่หรือไม่ที่รัฐต้องเข้าไปรับภาระในการรักษา ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นคนระดับกลางถึงล่าง เพราะเป็นผู้ใช้บริการรถโดยสารประจำทางแบบไม่ปรับอากาศ ดังนั้น ประกันสังคมจึงเป็นตัวเลือกอันดับแรกที่ต้องเข้าไปประคับประคอง รวมทั้งเงินจากส่วนอื่นๆ ของภาครัฐที่ต้องเข้าไปดูแลอีกด้วยหากประกันสังคมไม่พอใช้จ่าย แต่มีใครเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าเงินจำนวนนี้ในแต่ละปีมีจำนวนเท่าไหร่ และในอนาคตหากเรายังใช้น้ำมันที่มีมลพิษสูง จำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่

แน่นอนว่าการเจ็บป่วยจากมลพิษทางสิ่งแวดล้อม เป็นการเจ็บป่วยแบบสะสม ไม่ใช่การเจ็บป่วยแบบเฉียบพลัน เพราะฉะนั้นคนส่วนใหญ่จึงไม่ตระหนักถึงอันตรายของมัน ก่อนหน้านี้ประเทศไทยเคยใช้น้ำมันที่มีส่วนผสมของสารตะกั่วเพื่อเป็นการเพิ่มค่าออกเทน แต่วันหนึ่งเราก็ต้องยกเลิกมันไปเพราะต่างประเทศเขาวิจัยพบอันตรายของสารตะกั่วและเลิกใช้มานานมากแล้ว แม้กระทั่งสีทาผนังบ้านที่มีสารตะกั่ว เขาก็เลิกใช้มานานแล้วเช่นกัน เพราะมีโอกาสที่จะระเหยออกมาทำอันตรายกับผู้อยู่อาศัยในบ้านได้ แต่ตอนนั้นคนไทยก็กลัวและกังวลว่าเครื่องยนต์จะน็อค อัตราเร่งจะเสีย กลัวสารพัด แต่ไม่กลัวสุขภาพตัวเองเสีย แปลกดีเหมือนกัน

มาถึงตอนนี้รัฐพยายามรณรงค์ให้คนหันมาใช้แก๊สโซฮอล์ ไม่เพียงเพราะว่าแก๊สโซฮอล์ถูกกว่า แต่เพราะว่าแก๊สโซฮอล์มีการเผาไหม้ที่ดีกว่าน้ำมันเบนซิน 95 ทำให้มีสารตกค้างออกมาในอากาศน้อยกว่าด้วย ซึ่งสารตกค้างที่เราถือว่าเป็นมลพิษทางอากาศนี้ นอกจากจะทำอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนแล้ว ยังมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากมาย เช่น คาร์บอนมอนนอกไซด์ ซึ่งเป็น greenhouse gas หรือสารที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก และก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน หรือ global warming ตามมา

มีการยืนยันจากผลการวิจัยหลายแห่งทั่วโลกแล้วว่า สารเรือนกระจกเหล่านี้ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนจริง เพราะมันไปทำลายชั้นโอโซนในบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก ทำให้แสงอาทิตย์ส่องลงมาที่พื้นผิวโลกโดยตรง ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น และถ้ามองกันเฉพาะจุด เฉพาะสถานที่ นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าบริเวณขั้วโลกเหนือมีช่องโหว่ของโอโซนอยู่ ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายมากขึ้น หลายคนอาจคิดว่าน้ำแข็งละลายแล้วเราเดือดร้อนอะไร แน่นอนว่าเราไม่เกี่ยวโดยตรง แต่เราได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นั่นก็คือเมื่อน้ำแข็งขั้วโลกละลายกลายเป็นน้ำมากขึ้น น้ำทะเลบริเวณนั้นก็เจือจางลง ความเค็มลดลง ผลอันแรกคือสัตว์น้ำ พืชน้ำ ปะการัง และระบบนิเวศน์ใต้น้ำ ก็จะดำรงอยู่ไม่ได้ ปริมาณสัตว์น้ำจะร่อยหรอลงทุกปี ชาวประมงจับสัตว์น้ำได้น้อยลง ทำให้ราคาอาหารทะเลแพงขึ้น อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น วิถีชีวิตของชาวประมงและคนชายฝั่งต้องเปลี่ยนไป หันไปประกอบอาชีพอื่นหรือเกิดภาวะว่างงาน เป็นภาระที่รัฐต้องเข้าไปอุ้มชูด้วยภาษีของประชาชน

ผลอันที่สองคือกระแสน้ำในมหาสมุทรที่ปกติจะมีการหมุนเวียนจากเหนือไปใต้ จากใต้ไปเหนือ ก็จะแปรเปลี่ยนไป เพราะความเข้มข้นของน้ำทะเลถูกเจือจางลงจากการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก กระแสน้ำเย็นและน้ำอุ่นไม่สามารถหมุนเวียนได้ตามธรรมชาติ ทำให้สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนไป เกิดเอลนิลโญ่และลานิลญ่าบ่อยครั้ง บางแห่งฝนตกผิดฤดูกาล บางแห่งฝนแล้งผิดธรรมชาติ หากเป็นประเทศไทยซึ่งมีพื้นที่ลุ่มเยอะและมีการตัดไม้ทำลายป่ามาก เมื่อเกิดฝนตกมากผิดฤดูกาล ก็ก่อให้เกิดความเสียหายมากมายนับไม่ถ้วน เศรษฐกิจต้องชะลอตัวลงไป และรัฐก็ต้องใช้งบประมาณเข้าไปอุดหนุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจเช่นกัน

อย่างเช่นเหตุอุทกภัยคราวนี้ของไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ออกมาให้ตัวเลขความเสียหายเบื้องต้นแล้วว่ามีจำนวนถึง 17,000 ล้านบาท ยังไม่นับรวมปัญหาสุขภาพของประชาชนอันเกิดจากน้ำท่วม ทั้งโรคเท้าเปื่อย ผื่นคัน ฉี่หนู และปัญหาสุขภาพจิตอีกที่กรมสุขภาพจิตต้องเข้าไปดูแล ที่สำคัญนี่เป็นตัวเลขของความเสียหายเพียงปีเดียวเท่านั้น หากเกิดเหตุอุทกภัยเช่นนี้เพียง 3 ปี ไทยก็จะสูญเสียทางเศรษฐกิจเกิน 50,000 ล้านบาทแล้ว

จึงถามว่าเม็ดเงินในการปรับปรุงน้ำมันให้มีความสะอาดเพิ่มมากขึ้นและก่อมลพิษน้อยลงในระยะยาวแล้ว ตัวเลข 50,000 ล้านบาท มากไปหรือ? และการปรับปรุงเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนเช่นนี้ ควรนับเป็นวิถีเศรษฐกิจพอเพียงได้หรือไม่ นักข่าวคนนั้นและประชาชนไทยควรนำกลับไปคิดครับ

วันอังคาร, ตุลาคม 17, 2549

หนัง 3D



สุดสัปดาห์นี้ดูหนังเยอะกว่าปกติที่ผ่านๆ มา เพราะปาเข้าไป 3 เรื่องติดต่อกัน เริ่มตั้งแต่ The devil wears prada ต่อด้วยเรื่อง The Departed และตบท้ายด้วย Death Note เรียกว่าสามเรื่องสามรส (ชื่อเรื่องขึ้นต้นด้วย D ทุกเรื่องถ้าไม่นับ The) แถมดูแล้วง่วงทุกเรื่อง

ที่ง่วงไม่ใช่เพราะหนังมันห่วย แต่เพราะความอ่อนเพลียส่วนตัวจากการนอนน้อย ซึ่งนับว่าหนังทั้งสามเรื่องทำได้ดี เพราะผมไม่หลับคาโรง ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงหลับไปตั้งแต่สิบนาทีแรก เดี๋ยวนี้ก็อึดขึ้นเยอะแม้จะแก่ลงเยอะก็ตาม

ใครอ่านบทความวันนี้ คงนึกว่าผมจะมาเล่าถึงหนังทั้งสามเรื่องว่ามีเนื้อหาน่าติดตามยังไง หรือจะวิจารณ์อะไรบ้าง ก็ต้องบอกว่าคิดผิดครับ เพราะไม่ได้จะมาเล่าอะไรเลย แค่มาบอกกล่าวให้ฟังก้นเฉยๆ ว่าสุดสัปดาห์นี้ดูหนังเยอะขึ้นกว่าปกติ เพราะตามเก็บหนังที่ไม่ได้ดูมานาน ก็แค่นั้นเอง

แต่ก็อดไม่ได้ครับที่จะแนะนำให้ไปดูหนังทั้งสามเรื่องนี้ ถ้ามีเวลาจะมาฟุ้งให้ฟังครับว่าทำไมถึงแนะนำ หรือไม่ก็อาจจะมีคนมาเล่าสู่กันฟังแทน ติดตามเร็วๆ นี้ครับ วันนี้แค่นี้ก่อน ง่วงแล้ว

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 12, 2549

เลือดไหลไม่หยุด


นที่สุดพรรคที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยก็เริ่มเสื่อมถอยลง ก็เพราะภาวะเลือดไหลไม่หยุดของพรรคไทยรักไทยเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ไม่ต่างจากเมื่อปีสองปีก่อนที่เกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้กับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองไทย ในตอนนั้นบรรดานักการเมืองไร้จุดยืนทั้งหลาย ต่างพากันหนีออกจากพรรคที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่แต่อืดอาด ไปอยู่พรรคที่ดูดีมีอนาคตและใหญ่โตคับฟ้า แต่มาตอนนี้กรรมเกิดตามทันอย่างแรงและเร็วกว่าคลื่นสัญญาณ AIS หลายร้อยเท่า

แม้กระทั่งหัวหน้าพรรคอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็มีอันต้องโบกมืออำลาพรรคที่ตัวเองสร้างมากับมือไปในที่สุด โดยไม่มีแม้แต่โอกาสจะกลับมาสั่งเสียลูกน้องด้วยตัวเอง แต่แน่นอนว่าคงมีการพูดคุยและหารือกันมาพอสมควรแล้วเกี่ยวกับอนาคตทางการเมืองของคนในพรรค โดยเฉพาะแกนนำทั้งหลายว่าจะมีแผนการต่อไปอย่างไร เพราะขณะนี้แกนนำหลายคนก็สละเรือไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น สมคิด จาตุศรีพิทักษ์, สุรนันท์ เวชชาชีวะ, สมศักดิ์ เทพสุทิน, สนธยา คุณปลื้ม, สุชาติ ตันเจริญ, สุรเกียรติ์ เสถียรไทย (พวกนี้มีชื่อขึ้นต้นด้วย ส. ทั้งนั้น) แต่ยังมีแกนนำบางคนที่ยังรักพรรคยิ่งชีพ พร้อมที่จะตายไปพร้อมกับพรรคเลยทีเดียว กลุ่มหลังนี้ก็อย่างเช่น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, อนุทิน ชาญวีรกูล, วีระ มุสิกพงษ์

ส่วนสาเหตุของการชิ่งหนีครั้งนี้ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่พรรคไม่สามารถอำนวยประโยชน์ให้แก่ตนเองได้อีกต่อไป เรียกว่าอยู่ไปก็ไม่มีอะไรทำ แถมยังเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบ สอบสวน หรือถูกตามล้างตามเช็ดจาก คตส., สตง., ปปช., ปปง., และอีกหลายองค์กรตัวย่อ ซึ่งจะยิ่งวุ่นวายไร้ความสะดวกเสียเปล่าๆ ซ้ำร้ายถ้าพรรคถูกยุบ ก็เป็นอันหมดอนาคตทางการเมืองไปอย่างน้อย 5 ปี ตามประกาศ คปค. ฉบับที่ 27 เพราะฉะนั้นการลาออกจึงเป็นการปัดสวะให้พ้นตัวที่ดูเหมือนจะซับซ้อนน้อยที่สุดแล้ว (ในความคิดของบุคคลเหล่านี้)

จริงอยู่ที่อาจมีคนเถียงว่าการลาออกครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับเหตุผลข้างต้นเลย แต่ลาออกเพราะต้องการความสมานฉันท์ หรือต้องการไปประกอบอาชีพอย่างอื่น หรือเหตุผลบ้าบอคอแตกอะไรก็แล้วแต่ เด็กอมมือฟังแล้วยังเข้าใจได้ว่าโกหกทั้งเพ นึกแล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าคนเล่นการเมืองต้องหน้าด้านเข้าไว้จริงๆ นั่นแหละ

นับจากนี้ต่อไปคงต้องจับตาดูว่าเลือดของพรรคไทยรักไทยจะหยุดไหลเมื่อไหร่ แต่ที่จะคลาดสายตาไปไม่ได้ก็คือการสลายตัวของบรรดาแกนนำพรรค สมาชิกพรรค และหัวหน้าพรรค จะเป็นเกมหลอกล่อให้คนดูตายใจหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าคิดและน่าที่จะต้องระวังเอาไว้ เพราะคนในพรรคนี้โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ สร้างเครือข่ายและวางขุมกำลังแผ่อิทธิพลไปทุกหย่อมหญ้าของเมืองไทยมานานหลายปี และที่ผ่านมาก็ยืนกระต่ายขาเดียวมาตลอดว่าจะไม่ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นการยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้ดูเหมือนจะมีอะไรซ่อนอยู่มากกว่าภาพภายนอก และเป็นการเร็วเกินไปที่สังคมจะตัดสินกันแต่สถานการณ์ที่เห็นกันอยู่ในขณะนี้

เพราะ "ทักษิณ" ยังไงก็ยังเป็น "ทักษิณ" วันยังค่ำ

บทสุดท้ายของมิ่งขวัญ

หตุการณ์รับใช้นักการเมือง ทำให้ผู้อำนวยการ อสมท. อย่าง มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ อยู่ในตำแหน่งต่อไปไม่ได้ สุดท้ายต้องประกาศลาออกพร้อมกับคณะกรรมการบริหารยกชุด ซึ่งจะว่าไปแล้วก็อาจจะไม่ใช่ความผิดของมิ่งขวัญเสียทีเดียว เนื่องจากเหตุการณ์ในวันที่ 19 กันยายน อาจมีการเคลื่อนไหวภายใน อสมท. ที่มิ่งขวัญอาจปฏิเสธไม่ได้ เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่า ทักษิณ ชินวัตร ได้แต่งตั้ง เนวิน ชิดชอบ ให้มาดูแล อสมท. เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งก็เป็นที่เชื่อได้ว่ามิ่งขวัญถูกเนวินกดดันให้ทำการออกอากาศคำแถลงการณ์ของทักษิณในค่ำคืนนั้นนั่นเอง

หรืออีกกรณีหนึ่งที่หลายคนก็อาจมองได้ว่า มิ่งขวัญมีความสนิทชิดเชื้อกับทักษิณพอสมควร จากที่ผ่านๆ มาก็ได้ตอบสนองนโยบายในหลายๆ เรื่อง และที่ดูจะเป็นชนวนเหตุของการออกมาต่อต้านระบอบทักษิณกันจนเรื่องราวบานปลาย ก็เพราะมิ่งขวัญนี่แหละที่ถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ของ สนธิ ลิ้มทองกุล ออกจากผังรายการของโมเดิร์นไนน์

แต่ถึงอย่างไร มิ่งขวัญก็ควรได้รับคำยกย่องในแง่ของความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้ทำพลาดไป แม้จะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ซึ่งตรงนี้เป็นคุณสมบัติที่ดีของการเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำในระดับเล็กหรือใหญ่แค่ไหนก็ตาม ผิดกับคนชื่อทักษิณที่นอกจากจะไม่เคยแสดงความรับผิดชอบใดๆ กับความเคลือบแคลงและการเสื่อมศรัทธาของสังคมแล้ว ขนาดคนไล่กันค่อนประเทศก็ยังไม่ยอมลงจากตำแหน่ง สุดท้ายเรื่องราวของอัศวินควายดำก็จบลงด้วยอำนาจปืนด้วยประการฉะนี้